หนังเรื่องนี้ ขอบอกว่าครบถ้วนในเรื่องของความบันเทิงครับ ปี 1985 มาร์ตี้ แมคฟลาย (Michael J. Fox) เด็กหนุ่มที่ได้รู้จักกับ ดร.เอ็มเมท บราวน์ (Christopher Lloyd) นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง ผู้สามารถค้นคิดประดิษฐ์ยานเจาะเวลา หรือ ไทม์ แมชชีน ขึ้นมาได้ในรูปรถยนต์ธรรมดาคันหนึ่ง แล้วในคืนวันที่มีการทดลองกันนั้น ก็มีเหตุไม่คาดฝันอันทำให้มาร์ตี้ต้องเจาะเวลาโดยไม่ ได้ตั้งใจ ย้อนเวลากลับไปในอดีตเมื่อ 30 ปีก่อน ไปสู่ปี 1955 .. เอาล่ะสิครับ และเขาก็ได้เจอดร.บราวน์ตอนหนุ่ม แต่ที่วุ่นยิ่งกว่าคือเขาได้เจอพ่อและแม่ (Crispin Glover และ Lea Thompson) ตอนที่ทั้งคู่ยังไม่ได้จีบกันด้วยซ้ำ แล้วไปๆ มาๆ แม่เขาดันหลงเสน่ห์เขาแทนที่จะไปชอบพ่อ ยังไม่พอครับ เขายังต้องพบกับศัตรูตลอดกาลของตระกูลแมคฟลาย อย่าง บีฟ เทนเนนท์ (Thomas F. Wilson) ที่จ้องหาเรื่องพ่อของมาร์ตี้ได้ทุกวี่วัน คราวนี้มาร์ตี้จึงต้องทำทุกวิถีทางในการช่วยให้พ่อกั บแม่ได้รักกัน ช่วยจัดการเจ้าบีฟ และแน่นอน ช่วยตัวเองในการกลับไปสู่อนาคต สนุกครับ สนุกมากๆ หนังช่วงต้นเรื่องอาจจะดูน่าเบื่ออยู่ซักนิด แต่พอมาร์ตี้เจาะเวลาได้เท่านั้นล่ะครับ ความมันส์ก็ไหลตามมาทันที หนังวางเรื่องได้อย่างน่าติดตาม ยิ่งช่วงท้ายก็ลุ้นกันสุดๆ ล่ะครับ ว่ามาร์ตี้จะแก้ปัญหาทั้งหมดได้ยังไง เอาแค่จะทำไงให้พ่อแม่ได้รักกันนี่ก็ลุ้นตัวโก่งแล้ว ล่ะครับ เพราะถ้าทั้ง 2 ไม่รักกัน มาร์ตี้ก็จะไม่มีตัวตนในทันที ไอ้ฉากตรงงานเต้นรำนั่นแหละครับ ทำได้ลุ้นโคตรๆ ต่อจากนั้นก็มาลุ้นอีกรอบว่ามาร์ตี้จะกลับมาปี 1985 ได้ไง ดังนั้นบอกได้เลยครับว่าช่วงครึ่งหลังของหนังนี่อภิม หาแห่งความน่าติดตาม จริงๆ หนังเขียนบทโดย Robert Zemeckis และ Bob Gale ซึ่งพล็อตส่วนมากก็จะมาจากพี่ Bob นี่แหละ ประมาณว่ามีอยู่วันนึงพี่ท่านเกิดนึกเล่นๆ ขึ้นมาระหว่างที่กำลังนั่งดูหนังสือรุ่นของพ่อ นึกประมาณว่า ถ้าตัวเองได้ย้อนไปเป็นเพื่อนกับพ่อสมัยที่พ่อยังวัย รุ่นเนี่ยมันจะเป็นยัง ไง (และพล็อตที่เขาคิดก็โผล่มาในหนังนั่นแหละครับ) แล้วตัว Zemeckis เองก็รับหน้าที่กำกับด้วย ก็เกิดแบบสุดๆ ล่ะครับ เพราะหนังทำได้มันส์ สนุกอย่างเต็มที่ รายได้ก็ติดอันดับ Box Office เป็นหนังทำเงินสูงสุดประจำปี 1985 ก็ไม่น่าแปลกใจล่ะครับ ทำออกมาได้ครบเครื่องขนาดนี้ มีทั้งความฮา ความลุ้น ความตื่นเต้น ด้านนักแสดงนั้นต้องขอบอกว่าไม่มีใครเหมาะกับบทนี้มา กกว่า Michael J. Fox ครับ พี่แกดูดี ดูเด็ก รูปร่างก็ไม่ใหญ่โตอะไร แต่ก็มีความขบถอยู่ในแววตาเหมือนกัน เป็นบทที่มีความหลากหลายน่ะครับ ซึ่งนับว่าโชคดี เพราะตอนแรกนั้น Eric Stoltz จะมาเล่นบทนี้ครับ แต่เผอิญไม่ว่างครับ บทเลยมาตกเป็นของพี่ Michael และจริงๆ พี่แกก็เกือบจะไม่ไ่ด้เล่นครับเพราะตอนนั้นเขาก็รับง านซีรี่ส์ทางโทรทัศน์ เรื่อง Family Ties ไว้พอดี แต่แทนที่เขาจะทิ้งบท เขาก็แบ่งเวลาควบมันสองเรื่องเลยครับ ถ่ายมันทั้งวันทั้งคืน มีเวลานอนแค่วันละไม่ถึงสองชั่วโมงเท่านั้นเอง ก็ยอมรับเลยครับว่าเขาแน่มาก ตัวเล็กแต่ใจใหญ่จริงๆ แล้วมิหนำซ้ำยังเล่นได้ดีอีกต่างหาก สำหรับด๊อกบราวน์นั้นก็ไม่มีใครเหมาะเกินกว่า Lloyd ครับ ท่าทางหน้าตาลุงแกดูเพี้ยนๆ ประหลาดๆ อยู่แล้ว ยังมีทรงผมฟูๆ อีก ตาเหลือกหน่อยๆ (เหมาะจะเล่นหนังผียังไงก็ไม่รู้) ดูเป็นนักวิทยาศาสตร์จริงๆ ครับ ส่วน Lea Thompson ที่ต้องมารับบทเป็นลอเรน ทั้งตอนแก่และตอนสาว ก็ทำหน้าทีไ่ด้ดีมาก ไอ้ตอนแก่ๆ เป็นแม่นั่นก็ดูจู้จี้เจ้าระเบียบและดุๆ อาจไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่ แต่พอมาช่วงตอนเป็นสาวนี่สิครับ ท่าทางอินโนเซนซ์แบบกล้าๆ กลัวๆ นี่ดูน่ารักและฮาพอควร ยิ่งตอนพยายามตามจีบมาร์ตี้นี่ยิ่งไปกันใหญ่ครับ สีหน้าของเธอบ่งบอกชัดเลยว่ารักและปลื้มในตัวผู้ชายค นนี้จริงๆ และอีกรายที่เด่นไม่น้อยคือ Thomas F. Wilson ในบทวายร้าบบิฟฟ์ หน้าพี่แกนี่ดูบ้าดีครับ และเป็นสีสันที่สำคัญมากอีกรายนึงของหนังด้วย แต่คนที่เด่นและผมชอบสุดๆ ต้องยกให้พี่ Crispin Glover ครับ มาดพี่แกนี่ดูขี้แพ้สุดๆ ต้องเป็นคนขี้ขลาดไม่สู้ใคร ยอมเขาตลอดเป็นลูกไล่เขาประจำ ท่าทางหงอนี่สมจริงมากอ้ะคับ ยิ่งตอนพี่แกจะไปจีบลอเรนในร้านกาแฟนี่ฮาโคตรๆ อ้ะ แค่ก่อนจะจีบหญิงแล้วพี่ท่านสั่งนมช็อคโกแลตมาย้อมใจ นี่ผมก็ฮาสุดๆ แล้วล่ะครับ เพราะดูทีท่าแล้ว การจีบงวดนี้ไม่สำเร็จแน่นอน ... ทว่า พอถึงคราวที่เขาต้องแสดงความเป็นลูกผู้ชายและความกล้ าออกมา ... โอ้ ทำไมแววตาพี่เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้อ้า คือ มาดแกกลายเป็นอีกคนไปเลยครับ ดังนั้น หนังเรื่องนี้ ไม่รู้ดาราเป็นอะไรกันไปหมด ในเรื่องบทตัวละครควรเป็นแบบไหน อารมณ์ไหน พวกพี่แกเล่นได้หมด อย่างน่าเชื่อถือซะด้วย อย่างนี้ต้องขอคารวะครับ แง่คิดที่จัดว่ายอดเยี่ยมมากสำหรับหนังเรื่องนี้ ที่เราเห็นภาพแบบชัดเจนไปเลย คือ โอกาสครับ มันมีมาเสมอ ไม่ว่าจะโอกาสการจีบสาว โอกาสที่จะทำเพื่อตนเอง หรือสู้เพื่อคนอื่น เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง มันมีมาเสมอครับ แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะคว้ามันเอาไว้มั้ย หรือเราแค่มองมันแล้วปล่อยไปพร้อมกับบอกตัวเองว่าช่า งมันเถอะ ไม่มีสิ่งใดจะรับประกันว่าเมื่อเราคว้าโอกาสนั้นแล้ว เราจะทำมันสำเร็จหรือไม่ แต่ผมรับประกันได้อย่างนึงว่า หากเราไม่คว้า เราก็ไม่ได้มันแน่ๆ ครับ บางครั้งก็ต้องเสี่ยงกันหน่อย ชีวิตนี้ ในเรื่องของดนตรีจากฝีมือของ Alan Silvestri คอมโพเซอร์คู่บุญของผู้กำกับ Zemeckis ก็ทำงานได้อย่างไร้ที่ติครับ ดนตรีพริ้วดีมากและหลากอารมณ์ ก็สมควรล่ะคับ เพราะงานครั้งนี้เนี่ย Silvestri ได้บรรเลงพร้อมกับทีมงานวงออเคสตร้าขนาดใหญ่ที่สุดเท ่าที่เคยปรากฏในสมัย นั้นเลยล่ะครับ มีเกร้ดอาๆ อย่างนึงในการทำหนังเรื่องนี้ คือ คุณทราบมั้ยครับว่าแรกเริ่มเดิมทีน่ะ ยามเจาะเวลามันไม่ใช่ยานหรอกนะครับ บทร่างแรกของหนังเลยนั้น การเจาะเวลาจะใช้วิธีการยิงแสงเลเซอร์ไปสร้างประตูมิ ติเจาะเวลาไป แต่ต่อมาก็เปลี่ยนครับ เปลี่ยนเป็นอะไรทราบมั้ยฮะ เป็นใช้ตู้เย็นแทนครับ ใช่ครับ ประมาณว่าจะให้ตู้เย็นเนี่ยจะเหมือนเป็นยานเจาะเวลา ให้คนเข้าไปอยู่ในนั้น แล้วใช้พลังงานปรมาณูอัดเข้าไปเพื่อเจาะเวลา ซึ่งแนวคิดนี้ทั้งผู้กำกับ Zemeckis และเฮีย Steven Spielberg ผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ไม่เห็นด้วยและตัดสินใ จเปลี่ยนมาใช้รถ DeLorean เป็นยานเจาะเวลาแทน เพราะว่า ทั้งคู่กลัวว่าเด็กๆ ดูแล้วจะเอาไปทำเลียนแบบ ประมาณว่าดูปุ๊บแล้วก็กลับบ้านไปลองปีนเข้าตู้เย็นดู ซึ่งอาจจะทำให้เด็กไปติดอยู่ในตู้เย็นและเป็นอันตราย ได้ ด้วยเหตุนี้ ตู้เย็นเจาะเวลาเลยไม่ได้ออกมาให้เราเห็นด้วยประการล ะฉะนี้แหละครับผม (ผมว่าก็ดีแล้วล่ะนะฮะ) ครับ หนังเรื่องนี้ไม่ควรพลาด สนุกสนานและครบทุกรส เจอที่ไหนเอาไปดูได้เลยครับ
No comments:
Post a Comment